ริมฝีปากแห้งมากเกิดจากอะไร ?
ริมฝีปากแห้ง
ริมฝีปากสวยอิ่มเอิบ  นับว่าเป็นสัญลักษณ์ที่ช่วยดึงดูดเพศตรงข้ามได้เช่นเดียวกับหน้าอก  ดังนั้นคุณผู้หญิงวัยสาวนอกจากจะดูแลริมฝีปากเพื่อความพึงพอใจของตนเองแล้ว  ยังต้องดูแลเพื่อให้เป็นที่น่าพอใจของเพศตรงข้ามด้วย  การที่มีปัญหาปากแห้งแตกหรือลอกเป็นขุย  ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในฤดูหนาวแต่บางครั้งปัญหาริมฝีปากแห้งก็อาจขึ้นในฤดูอื่น  ๆ ได้เช่นกัน เพราะสาเหตุที่ทำให้เกิดริมฝีปากแห้งแตกนั้นมาจากหลายปัจจัย  ดังนี้
สาเหตุทำให้ริมฝีปากแห้ง
- อากาศ  เช่น ในฤดูหนาวที่มีลมพัด  ความชื้นจากริมฝีปากจึงถูกอากาศดูดและพัดพาออกไป,  อากาศร้อนบวกกับลมที่พัดแรง มีผลทำให้ริมฝีปากขาดความชุ่มชื้น,  ถูกความร้อนจากแสงแดดเป็นเวลานาน  รังสีอัลตราไวโอเลตจะเป็นตัวทำลายความยืดหยุ่นของเซลล์  ทำให้ผิวบริเวณริมฝีปากแห้งและแตกได้,  ผู้ที่อยู่ในห้องแอร์ที่อากาศเย็นและแห้ง  คนทำงานในออฟฟิศจะทราบดีว่าปัญหาดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้ทุกฤดู เป็นต้น
- การเลียริมฝีปาก การเลียริมฝีปากบ่อย ๆ รวมถึงการเม้มปาก เอนไซม์ที่ช่วยในการย่อยอาหารที่อยู่ในน้ำลายสามารถทำลายความชุ่มชื้นบนริมฝีปากได้
- การดื่มน้ำน้อยเกินไป  ก็เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ริมฝีปากแห้งได้ครับ  เพราะร่างกายต้องได้รับน้ำเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของร่างกาย  ยิ่งในบริเวณริมฝีปากที่สูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่ายแล้ว  คุณจึงต้องคอยดื่มน้ำเพื่อรักษาความชุ่มชื้นอยู่เสมอ
- การขาดสารอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการขาดวิตามินซีจนทำให้เป็นโรคลักปิดลักเปิด ขาดวิตามินบีจนทำให้เป็นโรคปากนกกระจอก ขาดวิตามินแล้วทำให้ปากแห้ง ผิวหยาบ
- อาการผิดปกติของร่างกายต่าง ๆ  เช่น อาการร้อนใน  เนื่องจากอาการร้อนในจะทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากขึ้นรวมทั้งริมฝีปากด้วย  (แก้ได้ด้วยการดื่มน้ำตะไคร้หอม ที่มีสรรพคุณช่วยแก้อาการร้อนใน กระหายน้ำ  หลีกเลี่ยงอาหารเค็มจัดและอาหารที่มีกรดหรือมีรสเปรี้ยว)  เมื่อรับประทานผักผลไม้เสร็จแล้ว แต่ไม่ได้ล้างปากให้สะอาด  อีกสาเหตุหนึ่งที่หลาย ๆ คนคาดไม่ถึง  เพราะกรดในผลไม้เอเอชเอจะเข้าไปทำลายความชุ่มชื้นที่ริมฝีปาก  รวมทั้งเมื่อสัมผัสกับแสงแดดก็จะทำให้ริมฝีปากดำคล้ำขึ้นอีกด้วย
- วัยที่มากขึ้น เช่น วัยสูงอายุ วัยทอง ซึ่งต่อมเหงื่อ ต่อมไขมันจะทำงานได้น้อยลง จึงทำให้บริเวณริมฝีปากแห้งตามไปด้วย เพราะน้ำลายก็ไม่ค่อยมี
- ริมฝีปากอักเสบจากภูมิแพ้ผิวหนัง ที่จะมีอาการคันบริเวณข้อพับเรื้อรังและผิวแห้ง และอาจทำให้เกิดริมฝีปากแห้งลอกร่วมด้วย
- ลิปสติก  ที่มีส่วนผสมทำให้เกิดปัญหา เช่น สี กลิ่น น้ำหอม ลาโนลิน  สารให้ความชุ่มชื้น สารกันแดด สารกันบูด menthol  หรือโลหะที่ผสมอยู่ในลิปสติก สังเกตได้ง่าย ๆ  ว่าถ้าคุณเปลี่ยนลิปสติกแล้วมีปัญหาปากแห้งแตกในทันที  ก็มั่นใจได้เลยว่าสาเหตุมาจากลิปสติก ซึ่งการใช้ลิปบาล์มจนติดเป็นนิสัย  เพราะสารสำคัญที่ผสมอยู่ในลิปบาล์มทั่วไปจะมีคุณสมบัติดูดความชื้นของริมฝีปาก  จนทำให้คุณต้องทาลิปบาล์มอยู่บ่อย ๆ
- ยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปาก  ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์หรือแอลกอฮอล์ในปริมาณสูง  (พบได้บ่อยว่าทำให้เกิดอาการแพ้) สารทำให้เกิดฟอง  สารที่มีรสเผ็ดซ่าในยาสีฟัน และสารสร้างความสดชื่น  สิ่งเหล่านี้ก็ทำให้ปากแตกได้เช่นกัน  โดยมักเกิดขึ้นร่วมกับการมีแผลในช่องปาก  ส่วนมากแล้วจะเกิดขึ้นเมื่อคุณเปลี่ยนไปใช้ยาสีฟันยี่ห้อใหม่  รวมไปถึงน้ำยาบ้วนปากที่เกิดจากการแพ้สารแต่งรส แต่งกลิ่น menthol
- สาเหตุอื่น ๆ  เช่น ยาทาเล็บและเล็บ acrylic ในรายที่มีนิสัยชอบกัดเล็บ, ยาบางชนิด เช่น  ยาแก้แพ้ ยาลดน้ำมูก  หรือยาจำพวกความดันก็มีผลข้างเคียงทำให้ปากแห้งได้เช่นกัน,  แพ้อาหารบางประเภท เช่น เปลือกส้ม แคร์รอต มะม่วง มังคุด ลางสาด สับปะรด  กะหล่ำดอก ขิง ข่า กระเทียม ผอม ผักชี สะระแหน่, แพ้โลหะหรือวัตถุทั่วไป,  แพ้แสงแดด, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์, การสูบบุหรี่, โรคผิวหนังบางชนิด เป็นต้น
วิธีรักษาริมฝีปากแห้ง
- หาสาเหตุของปัญหา  โดยทั่วไปแล้ววิธีการแก้ริมฝีปากแห้งแตกก็ไม่ได้ยากอะไรเลย  วิธีการก็ไม่ซับซ้อน  เพียงแค่คุณสำรวจดูว่าปัญหาปากแห้งแตกนั้นเกิดมาจากสาเหตุใดดังกล่าว เช่น  หน้าหนาว เกิดจากการดื่มน้ำน้อย ชอบเลียริมฝีปากตัวเอง ฯลฯ  เมื่อพบต้นตอของปัญหาแล้วก็ให้ทำการแก้ไขที่ต้นเหตุนั้น  ไม่นานนักปัญหาดังกล่าวก็จะคลี่คลายไปได้เอง  ที่นี้เรามาดูกันดีกว่าในข้อถัดไปว่าเราสามารถแก้ริมฝีปากแห้งแตกได้อย่างไรบ้าง
- เลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง  โดยหลีกเลี่ยงการเลียปาก เม้มปาก หรือแกะลอกริมฝีปาก  เลี่ยงสภาวะแวดล้อมที่มีผลต่อริมฝีปาก เช่น แสงแดด หรืออากาศเย็น ๆ แห้ง ๆ  ส่วนลิปบาล์มนั้นก็ไม่ควรทาเป็นประจำ (แนะนำให้ทาตอนที่ปากแห้งมากจริง ๆ)  รวมไปถึงการหลีกเลี่ยงสารสัมผัสที่อาจทำให้เกิดอาการแพ้ เช่น  ลิปสติกหรือยาสีฟัน โดยการปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ที่มีผลต่อริมฝีปากของคุณ  อย่างลิปสติกให้เลือกใช้สีอ่อน ๆ เพราะปริมาณเม็ดสีจะน้อยกว่าแบบสีเข้ม  ส่วนยาสีฟันจะหันมาใช้ยาฟันที่เป็นสมุนไพร มีฟองน้อยก็ดีเหมือนกัน  หรือเลือกใช้ให้เหมาะกับเราเป็นหลักครับ
- ดื่มน้ำเป็นประจำ  โดยดื่มให้เพียงพอวันละ 8-10 แก้ว และทำอย่างสม่ำเสมอ  จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ทุกส่วนของผิวหนังรวมทั้งริมฝีปาก  อาการริมฝีปากแห้งจะค่อยดี ๆ ขึ้นเอง และยิ่งอายุที่เพิ่มมากขึ้น  เซลล์ในร่างกายก็จะยิ่งเก็บความชุ่มชื้นได้น้อยลง  ยิ่งจำเป็นต้องดื่มน้ำให้เพียงพอ แต่น้ำในที่นี้ไม่ได้รวมถึงน้ำหวาน  น้ำอัดลม ชา กาแฟ และน้ำผลไม้นะครับ พวกนี้มันช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นไม่ได้
- ริมฝีปากก็ต้องผลัดเซลล์ผิว  หากว่าคุณปากแห้ง แต่ยังไม่มีอาการปากแตก  นั่นอาจมาจากมีเซลล์ผิวหนังตายแล้วเกาะอยู่บนริมฝีปากก็เป็นได้  เมื่อปล่อยให้ปากแห้งมากจนเกินไป ก็อาจทำให้เรียวปากมีขุยขาว ๆ ลอก ๆ  เกาะอยู่ และอาจทำให้เกิดอาการคล้ำของริมฝีปากได้ตามมา  แต่คุณสามารถกำจัดมันออกไปด้วยการใช้สครับสำหรับริมฝีปาก  ถ้าเป็นสูตรทำเองก็ให้ใช้น้ำตาลทรายแดง 1 ส่วน น้ำผึ้ง 1 ส่วน  และน้ำมันมะกอกอีก 1 ส่วน นำมาผสมให้เข้ากัน แล้วนำส่วนผสมที่ได้มาสครับเบา  ๆ เพื่อลอกเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วออกไป  หรือถ้าไม่มีคุณอาจจะใช้แปรงสีฟันขนนุ่ม ๆ ขัดริมฝีปากเบา ๆ  ก็ได้หลังการแปรงฟันเสร็จ (แต่อย่าทำบ่อย ๆ ล่ะ  เพราะเดี๋ยวปากจะยิ่งแห้งไปกันใหญ่)  หลังจากนั้นก็ให้ทาลิปบาล์มบำรุงอีกหนึ่งขั้นตอนด้วย
ทาลิปบาล์มเป็นประจำ  (Lip balm) ในระหว่างการรักษาคุณควรหาลิปบาล์มมาทาเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น  ไม่ควรแกะเการิมฝีปากหรือแผลที่แห้งแตกเป็นสะเก็ด ไม่เลียริมฝีปาก  อย่างยี่ห้อที่ผมจะแนะนำก็มีดังนี้ค่ะ
- Vasalinelip therapy rosy Lips  กระปุกจิ๋ว ๆ สูตรกลิ่นกุหลาบแบบหอมอ่อน ๆ เนื้อมีสีชมพูอ่อน ๆ  ทาแล้วปากดูมีสุขภาพดี แต่เนื้อจะข้นและเหนอะกว่าวาสลีนแบบปกติ (Valseline  Pure Petroleum jelly) เล็กน้อย  จึงช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นไว้บนริมฝีปากได้ดี (กระปุกขนาด 7 กรัม  ราคาประมาณ 200 บาท)
											
						 ผู้สนับสนุน
						
											ผู้สนับสนุน
						
					 
				LUCAS’ PAPAW OINTMENT  ลิปบาล์มสัญชาติออสเตรเลีย ช่วยบำรุงริมฝีปากได้ดีมาก ๆ  เหมาะกับคนที่ผิวแพ้ง่าย เป็นบาล์มที่ใช้ทาได้ครอบจักรวาลมาก  ตั้งแต่ริมฝีปากแห้ง ข้อศอกด้าน เข่าด้าน แมลงสัตว์กัดต่อย  แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก จะซื้อไว้ติดบ้านก็ไม่เสียหาย  แม้จะหาซื้อได้ยากหน่อยก็ตาม (หลอด 25 กรัม ราคาประมาณ 220-300 บาท)
CARMEX everyday healing lip balm  อีกหนึ่งแบรนด์ที่สาว ๆ ชอบมาก  แต่เปิดดมกลิ่นครั้งแรกอาจรู้สึกเหมือนกลิ่นยาหม่อง แต่พอใช้ไปเท่านั้นแหละ  ติดใจเลยล่ะ ! เพราะของเขาดีจริง ตอนใช้ไปช่วงแรก ๆ อาจจะยังไม่ค่อยชิน  ปากมันจะรู้สึกเย็น ๆ ปากเจ่อนิด ๆ แต่ถ้าใช้ไปเรื่อย ๆ  สุขภาพริมฝีปากจะดีขึ้น ผิวเริ่มเนียน ไม่แห้งแตก  และที่สำคัญริมฝีปากเหมือนจะเปลี่ยนเป็นสีอมชมพูด้วยล่ะ (ขนาด 7.5 กรัม  ราคาประมาณ 150 บาท)
BURT’S BEES Nourishing LIP BALM with Mango Butter  อีกหนึ่งแบรนด์ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของลิปบาล์ม หลาย ๆ คนอาจชอบใช้ตัวนี้  เพราะมีกลิ่นหอม ให้ความชุ่มชื้นได้ดีมาก ๆ  เวลาทาไประหว่างวันจะไม่รู้สึกว่าปากแห้งมากนัก ต่อให้เช็ดปากออกแล้วก็ตาม  คุณภาพจัดว่าคุ้มกับราคาค่ะ (ขนาด 4.25 กรัม ราคาประมาณ 260-280 บาท)
MENTHOLATUM Lip Pure  มีหลายกลิ่นให้เลือกตามชอบใจ ได้แก่ กลิ่นน้ำผึ้ง กลิ่นส้ม  และสูตรไม่มีกลิ่น ทั้งสามกลิ่นจะเป็นลิปแคร์เนื้อ wax  ไม่มีสีและไม่ใส่สารกันเสีย มีลักษณะเป็นแท่งไม่เหลวหรือแห้งจนเกินไป  พอทาไปบนปาก แรก ๆ จะมันวาวเล็กน้อย  ทิ้งไว้สักครู่ปากก็จะดูชุ่มชื่นและเนียนนุ่ม เห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้  แต่ถ้าอยากให้ปากเนียนนุ่มก็ต้องใช้ไปตลอดและทาเป็นประจำ (ราคาแท่งละประมาณ  90 บาท)
สีผึ้งแม่เลียบ  ตัวช่วยยามฉุกเฉินในยามที่ริมฝีปากแห้งหนัก ๆ วันไหนปากแห้งแตกเป็นขุย ๆ  เป็นแผลด้วยหน่อย ๆ แถมมีเลือดไหลออกซิบ ๆ โบกตัวนี้ได้เลยครับ  (แนะนำให้ควักมาบี้ ๆ ปลายนิ้ว แล้วค่อย ๆ แปะ ๆ ริมฝีปากให้ทั่ว  ไม่แนะนำให้ใช้วิธีป้าย) ปากจะเรียบเนียนสวยอมชมพูอย่างแน่นอน  แต่มีข้อเสียอยู่อย่างคือ กลิ่นจะค่อนข้างแรง  เมื่อทาแล้วอาจรู้สึกเหมือนได้กลิ่นธูปหน่อย ๆ  และเรื่องของเนื้อจะค่อนข้างหนืดหน่อย จึงแนะนำให้ทาเฉพาะก่อนนอนค่ะ  (หาซื้อได้ตามร้านขายเครื่องสำอางสมุนไพรหรือร้านขายสังฆภัณฑ์ ราคาประมาณ  15-20 บาท)
ลิปมันเภสัช ถูกและดีมีอยู่จริง  !! ตลับสีชมพูมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ เคยปากแห้งแล้วเอาลิปตัวนี้แหละมาทา  ผลออกมาจากริมฝีปากแห้งแตกกลับกลายเป็นริมฝีปากเรียบเนียนอมชมพู  หลายคนใช้แล้วชอบมาก (กระปุกจิ๋ว ๆ ราคาประมาณ 10-15 บาท) (ภาพ :  pantip.com by Aoei-Aoei)
ส่วนในบางรายอาจต้องใช้ยาทาในกลุ่มสเตียรอยด์  ซึ่งมีฤทธิ์ลดการอักเสบร่วมด้วย แต่ควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์  เพราะยาเหล่านี้อาจมีผลข้างเคียงได้ หากนำมาใช้ไม่ถูกต้อง
- ทาด้วยออยล์หรือน้ำมันที่สกัดจากธรรมชาติ ก็สามารถช่วยทำให้ปากชุ่มชื้นได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งก็มีอยู่หลายชนิดครับ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันละหุ่ง น้ำมันมะกอก น้ำมันสกัดจากเมล็ดทานตะวัน โจโจบาออยล์  ฯลฯ เหล่านี้สามารถนำมาใช้บรรเทาอาการริมฝีปากแห้งแตกได้ทั้งนั้น  วิธีการใช้ก็เพียงแค่นำคอตตอนบัดมาจุ่มลงในออยล์  แล้วนำมาทาริมฝีปากพร้อมกับนวดเบา ๆ  เพื่อให้ออยล์ซึมและเคลือบไปทั่วริมฝีปาก
- ทาริมฝีปากด้วยอโลเวร่าเจล  เป็นที่ทราบกันดีว่าอโลเวล่าหรือว่านหางจระเข้นั้น  มีคุณสมบัติในการบำรุงรักษาเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว  แทนที่เราจะเลือกใช้ในรูปของครีมอโลเวร่าหรือลิปบาล์มผสมอโลเวร่า  ลองหันมาใช้เจลอโลเวร่า 100% ทาริมฝีปากแทนดูสิ  ซึ่งวิธีนี้จะเป็นการบำรุงแบบธรรมชาติและสามารถช่วยบรรเทาอาการปากแห้งแตกได้  (ภาพเจลว่านหางจระเข้ขององค์การเภสัช : pantip.com by ทะเล ต้นไม้ ใบหญ้า)
รักษาแผลเรียวปากแห้งแตกด้วยน้ำผึ้งแท้  น้ำผึ้งมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อโรคอ่อน ๆ  มันจึงสามารถนำมาใช้รักษาบาดแผลริมฝีปากที่แห้งแตกและลอกจนแสบได้ดี  วิธีการก็ง่าย ๆ เพียงแค่คุณใช้คอตตอนบัดจุ่มน้ำผึ้งแท้  จากนั้นนำมาทาบนริมฝีปากทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วจึงค่อยใช้ผ้านุ่ม ๆ  ชุบน้ำอุ่นเช็ดออก แต่ถ้ารู้สึกว่ามันยุ่งยากเกินไป จะกินเข้าไปเลยก็ได้นะ  เพราะมีประโยชน์ หากทำเป็นประจำ  แผลแห้งลอกที่ทำให้รู้สึกเจ็บแสบจะบรรเทาลงภายในไม่กี่วัน
น้ำอุ่นผสมเกลือ  ในรายที่ปากแห้งแตกจนลอกเป็นขุย ๆ ให้คุณใช้น้ำอุ่นผสมกับเกลือป่นเล็กน้อย  จากนั้นใช้สำลีชุบให้เปียกพอหมาด ๆ แล้วใช้ปากคาบทิ้งไว้ประมาณ 3-5 นาที  หรือจะไล่เช็ดเบา ๆ ก็ได้ให้ทั่วริมฝีปาก ก็จะช่วยทำให้ขุยต่าง ๆ  หลุดลอกออกมาได้ค่ะ
- เลือกรับประทานอาหารให้ถูกหลัก  หันมารับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินบี เช่น ธัญพืชไม่ขัดขาว  (ข้าวกล้อง), ผักใบเขียว (ผักโขม บรอกโคลี คะน้า), ถั่วเปลือกแข็ง  (เมล็ดอัลมอนด์ ถั่วลิสง เมล็ดมะม่วงหิมพานต์) รวมไปถึงอาหารที่มีวิตามินเอ  วิตามินซี ซึ่งพบได้มากในผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ แคร์รอต ผักใบเขียวต่าง ๆ  โยเกิร์ตรสธรรมชาติ เพื่อช่วยทำให้ริมฝีปากมีสุขภาพดีขึ้น  รับประทานอาหารที่มีซัลเฟอร์สูงอย่างไข่ กระเทียม และหน่อไม้ฝรั่ง  เพื่อช่วยทำให้ผิวพรรณรวมทั้งริมฝีปากดูสดชื่นและเต่งตึง  ส่วนอาหารเสริมก็ช่วยได้เช่นกันครับ  เป็นอีกวิธีที่จะช่วยทำให้ริมฝีปากดูเปล่งปลั่งและมีสุขภาพดีขึ้นได้จากภายใน  อย่างอาหารเสริมที่มีโอเมก้า 3 วิตามินเอ และวิตามินบี  เพียงแค่คุณรับประทานให้ได้ในปริมาณที่เหมาะสม  ก็จะช่วยทำให้ริมฝีปากชุ่มชื้นขึ้นได้  ยังไงก็ลองปรึกษาเภสัชกรเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติมดูค่ะ
 
เชื่อเถอะว่าไม่มีใครปรารถนาอยากเห็นริมฝีปากที่แห้งแตกเป็นขุยของคุณอย่างแน่นอน  ดังนั้นการหันมาดูแลริมฝีปากของตัวเองอย่างจริงจัง  จะช่วยทำให้คุณดูดีมีเสน่ห์มากขึ้นจนเป็นที่สะดุดตาอย่างแน่นอน สรุปทิ้งท้ายไว้ละกัน  ขั้นตอนหลัก ๆ ก็เริ่มจากเลิกจับ แกะ เม้ม และเลียริมฝีปาก ดื่มน้ำให้มาก ๆ  ทาลิปมันยี่ห้อที่ชอบทุกครั้งที่ปากเริ่มแห้ง หลังการแปรงฟัน  ถ้าปากมีคราบขาว ๆ ก็ให้สครับออกเบา ๆ ก่อนนอนก็โบกลิปมันก่อนนอนทุกคืน ถ้าทำได้ตามนี้รับรองหายแน่นอนค่ะ ล้านนนน %%%